7 ข้อคิดที่ได้จาก Green Book หนังยอดเยี่ยมแห่งปี 2018

หนังซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงเรื่องนี้ นอกจากจะมีความเป็นหนังคอมเมดี้และยังมีความดราม่า ออกแนวชีวประวัติ และยังมีความเป็นหนังแบบ Road movie อีกด้วย เขาว่ากันว่าดูจบแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ ตอนที่ดูเราจะเพลิดเพลินกับการแสดงของ วิกโก มอร์เทนเซน และ มาเฮอร์ชาลา อาลี ที่รับส่งบทสนทนากันอย่างออกรส แทรกฉากอารมณ์ขันไว้เรียกทั้งเสียงหัวเราะและเร้าความรู้สึกมีความสุขของคนดู ซึ่งตลอดการเดินทางของโทนี่ ลิป (วิกโก มอร์เทนเซน) และ ดอน เชอร์ลี่ย์ (มาเฮอร์ชาลา อาลี) และตลอดช่วงการดำเนินเรื่องของหนัง มีทั้งความสนุก เสียงหัวเราะ ช่วงเวลาบีบคั้นความรู้สึก ช่วงเวลาที่รู้สึกเศร้า รวมถึงช่วงเวลาที่มีความสุข นอกจากนั้นเรายังได้ข้อคิดดีๆ เอามาใช้ในชีวิตจริงด้วย

1. โลกส่วนตัวของเราบางทีมันซับซ้อนสิ้นดี แต่เราหวังแค่เพื่อนซักคนที่เข้าใจและยอมรับฟัง ดอน เชอร์ลี่ย์ ถึงเขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะด้านการเล่นเปียโน มีการศึกษาสูง มีชื่อเสียงโด่งดัง ชีวิตช่างดูดี แต่เบื้องหลังนั้นเขาเป็นเพียงผู้ชายเหงาๆ คนหนึ่งซึ่งไร้เพื่อน รู้สึกแปลกแยกจากคนทั้งโลกเพราะเขาโดนเหยียดจากคนขาว โดนคนดำด้วยกันมองว่าไม่เข้าพวก และยังต้องหลบซ่อนจากโลกความจริงที่ยึดมั่นนักหนาว่าผู้ชายต้องรักกับผู้หญิง แต่โทนี่ ลิป ถูกส่งมาจากนอกโลกหรือไงกัน ถึงได้เข้าใจว่าโลกนี้มันช่างซับซ้อน และพร้อมจะยอมรับและเข้าใจโลกของ ดร.เชอร์ลี่ย์

2. เราไม่มีทางเอาชนะได้ด้วยความรุนแรง เราจะชนะได้ก็ต่อเมื่อเรารักษาไว้ซึ่งเกียรติของตัวเอง หลายครั้งที่เราคงเจอกับเรื่องชวนหงุดหงิด กวนอารมณ์ ผู้คนก่นด่าและเข้ามาหาเรื่อง บางครั้งเราถึงขั้นตอบโต้กลับด้วยอารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผล สุดท้ายเรื่องก็ลงเอยด้วยความโกรธ เกลียดกัน และกลายเป็นตัวเราเองที่มานึกทีหลังว่าไม่น่าพูดจาไม่ดี ใช้คำร้ายๆ จนทำให้ตัวเองดูไม่มีเกียรติและความดีอยู่เลย คำพูดของ ดร.เชอร์ลี่ย์ ที่พูดถึงเรื่องเกียรติ มันมาเตือนสติเรา และเราก็เตือนตัวเองให้พึงระลึกไว้อยู่เสมอ

3. รู้จักยอมรับวิถีทางของผู้คน แม้เราจะมองว่ามันไม่ถูกต้อง จะบอกว่าไม่ผิดหรอกที่เราจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง แต่ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเรียกร้องไปก็เปลี่ยนใครไม่ได้ แถมเรายังต้องเจ็บช้ำใจมากกว่าเดิม สู้ปล่อยผ่านและเลี่ยงมาเดินอีกทางซึ่งเป็นวิถีของเราไม่ดีกว่าเหรอ

4. เพื่อนคือคนที่เข้าใจและยอมรับ ไม่ต้องสนิทนักหนา ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่เธอจะไม่สบายใจเมื่อเห็นเราทุกข์ใจ เธออ่านเราออกและพร้อมจะเข้ามาปลอบใจเมื่อเราไม่มีใคร

5. ความรู้สึกแปลกแยกและไม่เข้าพวก คือจุดดำมืดในหัวใจ แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเจ็บปวด เราทุกคนต้องการเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จของสังคมที่เราอาศัยอยู่ ความรู้สึกเศร้าหมองมันคงเกิดขึ้นและสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ แหละในเวลาที่เราถูกปฏิเสธจากสังคม จุดสำคัญคือต้องอดทนและอยู่ให้ได้…อยู่ให้ได้ด้วยเกียรติยังไงล่ะ

6. ความไม่ชอบที่เกิดจากความเชื่อต่อกันมา มันเปลี่ยนเป็นชอบได้นะ ยกตัวอย่างโทนี่ ลิป ที่ไม่ชอบคนผิวสี ไม่เคยชอบเลย พอเหตุการณ์จำเป็นบังคับให้ต้องเดินทางร่วมกัน เขาก็ได้เรียนรู้ว่าคนดำอย่าง ดร.เชอร์ลี่ย์ ไม่ได้เลวร้ายน่ารังเกียจเหมือนที่เขารู้สึกมาตลอดก่อนหน้านี้ คนเราก็เหมือนกัน…ลองใช้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจกับมันสิ

7. ถนนชนบทมันสวยจัง มันน่าไปขับรถเล่น ฟังเพลง ปลดปล่อยความคิด ถ้าได้เพื่อนนั่งไปด้วยแล้วคุยกัน แลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์การใช้ชีวิต ได้ถกกันเรื่องหนังที่ชอบ จอดแวะกินกาแฟระหว่างทาง คงดีมากเลย

                ความจริงแล้ว หนังให้แนวคิดเยอะ ขึ้นอยู่กับมุมมองของเราว่ามองและตีความออกมาแบบไหน แต่ไม่ว่าคุณจะได้ข้อคิดอะไร จะดีมากถ้าได้นำข้อคิดดีๆ พวกนั้นมาใช้นำทางชีวิตของเรา