3 หนังรางวัลออสการ์ ที่ควรค่าแก่การดูสักครั้งในชีวิต

ว่ากันว่า หนังใดที่ได้รางวัลออสการ์ หนังเรื่องนั้นเป็นหนังที่ดูยาก ซับซ้อน ต้องอาศัยการตีความ ใช้ความคิดเยอะแยะถึงจะเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป หนังออสการ์แต่ละเรื่อง ก็จะมีวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันไป ความยอดเยี่ยมของตัวหนังก็อาจแตกต่างกันไปตามยุคสมัย และเหตุบ้านการเมืองในขณะนั้น หนังรางวัลส่วนใหญ่ ไม่ได้ดูยาก หากแต่ด้วยองค์ประกอบ และเนื้อหาของหนังที่มีวิธีการสื่อสารออกมาได้อย่างคมคาย และ “ให้” อะไรบางอย่างที่ผู้ชมจะได้เก็บกลับไปตกตะกอนความคิด จึงเป็นหนังที่ไม่ว่าใครก็ควรลองเปิดใจดูสักครั้ง อย่างเช่น หนัง 3 เรื่อง ที่กำลังจะพูดถึงต่อไป

Forest Gump (1994)

คงไม่ต้องแนะนำกันมาก เพราะ Forest Gump คือหนึ่งในหนังขึ้นหิ้ง ผลงานอมตะของ ทอม แฮงส์ ที่คอหนังน่าจะรู้จักกันดี ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู ก็ต้องขอแนะนำให้ลองดู หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ วินส์ตัน กรูม ที่พูดถึงชีวิตของนายฟอร์เรสต์ กัมป์ ชายผู้มีพัฒนาการทางสมองต่ำกว่าคนทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหนือกว่าคนทั่วไปนั่นคือวิธีการมองโลกในแง่ดี และไม่คิดอะไรมาก ตัวหนังนอกจากจะล้อประวัติศาสตร์การเมืองแล้ว ยังแฝงปรัชญาเรื่องของ free will หรือเจตจำนงอิสระ ที่ถ่ายทอดผ่านการกระทำของตัวเอกของเรื่องซึ่งก็คือฟอร์เรสต์ กัมป์ นั่นเอง

Chicago (2002)

หนึ่งในหนังมิวสิคัลที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ไปครองได้ ก็คือเรื่อง Chicago ที่สร้างจากละครเพลงที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคม ในยุคที่เพลงแจ๊สกำลังรุ่งเรืองในชิคาโก้ ที่ซึ่งหญิงนักเต้นซึ่งเป็นตัวละครหลักในเรื่องมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาได้จากเรื่องที่เป็นคดีความอื้อฉาวเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ถูกลืมเลือนไปภายในเวลาไม่นาน ถึงแม้ว่าหนังจะค่อนข้างเก่า แต่เนื้อหาก็ยังคงทันสมัย และให้ข้อคิดที่นำมาใช้กับยุคนี้ได้ดีทีเดียว

Spotlight (2015)

ด้วยความที่เป็นหนังที่มีตัวเอกเป็นทีมนักข่าว การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้จึงตรงไปตรงมา พุ่งเข้าหาประเด็น ไม่มีการตัดสลับเวลาให้ดูซับซ้อน แต่เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงตามไทม์ไลน์ สมกับที่เป็นหนังของคนทำข่าวจริง ๆ ถ้าหากได้ยินว่าพล็อตเรื่องนั้นมาจากเรื่องจริงของทีมนักข่าวหนังสือพิมพ์ ที่ทำการขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวของบาทหลวงที่เคยล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย ก็อาจจะคิดไปว่าโทนของหนังน่าจะหนัก ๆ หน่วง ๆ อึดอัด ๆ ไปตลอดทั้งเรื่อง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะหนังเล่าเรื่องได้สนุก มีความกระชับฉับไว แต่สามารถดึงอารมณ์ให้ร่วมลุ้นระทึกไปกับทีมข่าว ที่ต้องเจาะลึกหาข้อมูล เพื่อเปิดโปงเรื่องที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความศรัทธาต่อศาสนาของผู้คนในชุมชน

หนัง 3 เรื่องนี้ อาจไม่ใช่ทางของคอหนังแอคชั่น บู๊ล้างผลาญ หรือหนังแมสทั่วไปที่เล่าเรื่องตามสูตรสักเท่าไร แต่ความสนุกอย่างหนึ่งของการดูหนังเหล่านี้ก็คือ ความคาดเดาไม่ได้นั้นเอง และมักจะมีสิ่งดี ๆ ที่หนังได้ทิ้งไว้ให้ขบคิด ก็เปรียบเสมือนการส่งต่อเมล็ดพันธุ์ทางความคิด ให้เจริญเติบโตงอกงามขึ้นภายในใจของคนดู หากจะบอกว่า ภาพยนตร์ให้อะไรเราได้มากกว่าความบันเทิง ก็คงไม่เกินความจริงนัก เมื่อได้ดูหนังเหล่านี้