เมื่อพุดถึงศิลปะการแสดงนับย้อนหลังกลับไปยุคก่อน พ.ศ. 2499 ในสมัยนั้นภาพยนตร์ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ผู้ที่จะได้ชมศิลปะการแสดงสามารถชมได้จากโรงละครเท่านั้น และผู้ที่จะชมภาพยนตร์และละครจะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย มียศถาบรรดาศักดิ์เท่านั้น สำหรับชาวบ้านทั่วไป การที่จะได้ชมศิลปะการแสดงก็สามารถดูได้จากวัฒนธรรมพื้นบ้านต่าง ๆ เช่น ลิเข โขน หนังใหญ่ หนังตะลุง เป็นต้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปจนมาถึงปัจจุบัน ปี 2559 แล้ว เทคโนโลยีความก้าวหน้า การศึกษา มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดย
ง่าย สะดวก รวดเร็ว จากโรงละคร จากโรงลิเก นำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ จากทีมงานอำนวยการสร้าง จากกระบวนการสร้าง ของ ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ดารานักแสดงภาพยนตร์ และการสำเสนอผ่านโรงภาพยนตร์ที่มีอยู่ทุกที่ในโลก ตลอดจนการเผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงได้ทุกบ้าน ผู้ที่ชมภาพยนตร์จะได้รับ ความสุข ความบันเทิงได้หลายประการ กล่าวคือ ประการที่ 1 ได้รู้จักผู้ที่มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ระดับประเทศและระดับโลกนั่นคือ ดารา นักแสดง ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง สถานที่สำคัญ เทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์ ประการที่ 2 ได้รับความรู้และข้อคิดจากการชมภาพยนตร์สามารถนำไปใช้ได้จริงกับชีวิตเรา ประการที่ 3 ได้รับข้อมูลข่าวสารเพื่อเป็นการเพิ่มพูน
ความรู้ความสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้ ประการที่ 4 ได้รับความสนุกสนานความบันเทิง ความสุข ตลอดจนเป็นการขจัดความเครียดได้ประการที่ 5 ได้สร้างความรักความอบอุ่นเพิ่มเติมส่วนที่ขาดจากคนที่เรารัก ประการสุดท้ายได้เดินทางไปดูภาพยนตร์และยังได้เปิดหูเปิดตารับรู้ความเป็นไปพัฒนาการของสิ่งแวดล้อมรอบตัว และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายจากแหล่งข้อมูลที่ผู้เขียนยังไม่ได้ศึกษา
เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อเรามีเวลาว่างอยู่ที่บ้าน อยู่กับแฟน อยู่กับเพื่อน ชักชวนกันไปดูภาพยนตร์ในสถานที่ตามที่เราต้องการจะใกล้บ้านไกลบ้านจัดไปตามใจท่าน ปล่อยอารมณ์ไปกับการชมภาพยนตร์ สร้างอารมณ์ร่วมไปกับการชมภาพยนตร์ นั่นแหละคือการสร้างสิ่งที่ดีให้กับชีวิต ได้มีคุณค่า คลายเครียด ปล่อยวางละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สับสนวุ่นวายไว้ภายหลัง เมื่อชมภาพยนตร์แล้วสมาธิจะเกิดกับเราทันที ทำให้เราพร้อมที่จะรับกับการทำการทำงานมีพลังในการปฏิบัติภารกิจ มีความคิดที่สร้างสรรค์ ปลอดโปร่ง นำพาไปสู่การมีชีวิตที่มีคูณภาพ แข็งแรง สมบูรณ์ มีความสุขทั้งทางกายและทางใจ