มาทำความเข้าใจกับคำว่าภาพยนตร์กันเถว่าง

เรามารู้ข้อมูลคร่าวๆกันก่อนว่าภาพยนตร์นั้นคืออะไร ภาพยนตร์คือการบันทึกภาพเคลื่อนไหวผ่านเลนกล้อง และต้องผ่านกระบวนการตัดต่อและคัดกรองต่างๆจากโปรแกรมอย่างเป็นระบบ เมื่อนั้นแหละภาพยนตร์ถึงจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมทำการฉายต่อไปได้ เอาละหากพูดถึงประวัติความเป็นมาก็ต้องเริ่มจากการผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายทำหรือก็คือตัวกล้องถ่ายภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี 1889 มีเครื่องฉายภาพยนตร์ 2 แบบด้วยกันแบบแรกมีชื่อเรียกว่า Kinetograph และแบบที่สองเป็นเครื่องที่ดูได้เพียงครั้งละหนึ่งคน ใช้วิธีเรียกว่า Peep show โดยนายเอดิสัน การประสบความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นที่อเมริกาและมีการจดลิขสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย ในขณะเดียวกันในยุโรปเองก็มีการศึกษาค้นคว้าด้านนี้อยู่แล้วเช่นกันโดยสองพี่น้องลูมิแอร์และพวกเขาก็ประสบความสำเร็จหลังจากนั้น โดยให้ชื่อว่า Cinematography ซึ่งเจ้าเครื่องนี้ก็มีข้อดีกว่าเครื่อง Kinetograph ตรงที่สามารถถ่ายและฉายได้เองในตัว ตัวเครื่องก็มีน้ำหนักที่น้อยกว่า นอกจากนี้พวกเขายังได้ถ่ายทำภาพยนตร์ออกมาเป็นเรื่องแรกที่ชื่อว่า La Sortie des ouvriers de I’ usine Lumiere เนื้อเรื่องฉายให้เห็นถึงชีวิตของพนักงานโรงงานในตอนเลิกงานซึ่งเป็นปกติประจำวัน เรื่องนี้ถูกฉายครั้งแรกที่กรุงปารีส
ต่อมามีการพัฒนาด้านภาพยนตร์ไปอย่างต่อเนื่องจนถึงในช่วงสงครามโลกกันเลยทีเดียว การพัฒนาในครั้งนี้ได้พบความเปลี่ยนแปลงอยู่หลายจุดในเรื่องของการสื่ออารมณ์ให้กับภาพมีการพัฒนาถึงขั้นจัดองค์ประกอบภาพและตัดต่อเพื่อให้ได้ขนาดเฟรมที่พอดี เพราะกริฟฟิธที่เป็นผู้ทำการตัดต่อเห็นว่าการเรียบเรียงและการจัดภาพให้ช้าหรือเร็วนั้นมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ชม และอเมริกาก็เข้าสู่ความสำเร็จครั้งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเรียกหนังยุคนี้ว่า หนังเงียบ หากเอ่ยชื่อดารานักแสดงของยุคนั้นเชื่อได้เลยว่าหลายคนต้องร้อง อ๋อ อย่างแน่นอน เพราะนักแสดงหนึ่งในนั้นก็คือ ชาลี แชปลิน ผู้ที่โด่งดังจากภาพยนตร์เงียบและยังเป็นสีขาวดำอยู่ในยุคนั้น และสืบเองมาจนถึงวงการภาพยนตร์ฮอลลี่วู้ดที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกเป็นอย่างมาก ยุคสมัยต่อมามีการพัฒนาโดยการใช้เสียงเข้าไปด้วย อันที่จริงก็มีการคิดเรื่องเสียงมานานพอๆกับตัวเครื่องถ่ายภาพแต่ก็อาจจะยังต้องอาศัยช่วงเวลาในการศึกษาค้นคว้ากันต่อไปจนในที่สุดก็มีการบันทึกภาพโดยมีเสียงด้วย
หลังจากได้เรื่องเสียงแล้ว ก็ตามมาด้วยสีของภาพ ซึ่งยุคสมัยนั้นเป็นการลงสีด้วยมือทีละเฟรมจนครบทั้งเรื่อง อาจจะใช้เวลาไปบ้างแต่ภาพก็มีสีสันขึ้นและก็มีการพัฒนามาตลอดอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็สามารถถ่ายภาพยนตร์ไปพร้อมกับทั้งเสียงและสีได้ในเวลาเดียวกัน นับว่าเป็นความสำเร็จที่มีผู้คิดค้นพัฒนากันมาอย่างยาวนานแม้ว่าในแต่ละยุคสมัยจะมีปัญหาหรืออุปสรรค์เข้ามาบ้างโดยเฉพาะเรื่องของยุคสงครามที่มีบางช่วงทำให้การพัฒนาต้องหยุดชะงักไปบ้าง แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นและมนุษย์ก็ไม่เคยที่จะหยุดพักในการพัฒนาต่อยอดต่อไป วงการภาพยนตร์ทั่วโลกนอกจากฮอลลี่วู้ดแล้ว อีกหนึ่งวงการที่มีชื่อเสียงระดับโลกไม่แพ้กันนั่นก็คือ วงการบอลลี่วู้ด ของประเทศอินเดียนั่นเอง ซึ่งก็เป็นวงการที่มีเอกลักษณ์พอสมควรคนไทยอย่างเราๆจะคุ้นกันอย่างดีเพราะเอกลักของภาพยนตร์อินเดียคือการจีบกันของหนุ่มสาว หรือไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงฉลองหรือฉากที่ต้องการแสดงออกว่าตัวละครนั้นมีความสุข ก็จะมีฉากการเต้นเพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่กัน ผู้ชมก็จะจำภาพเหล่านั้นได้ ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีเอกลักษณ์ที่สวยงามและสร้างความครื้นเครงให้แก่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี ส่วนในวงการบันเทิงเอเชียอย่างประเทศจีนนั้นก็มีทั้งนักแสดงมากฝีมือและมีการพัฒนาระบบแอฟเฟ็คและระบบการตัดต่อที่สมจริงไม่แพ้ทางฝั่งของฮอลลี่วู้ดและบอลลี่วู้ดเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่าวงการภาพยนตร์นั้นมีมานานมากแล้ว และได้สร้างความประทับใจและความแปลกใหม่ให้แก่ผู้คนหลายยุคหลายสมัยมาแล้ว เรียกได้ว่าสร้างสีสันให้แก่ทุกคนและสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆออกมาผ่านทางสื่อที่เรียกว่า ภาพยนตร์ได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติที่สุดอีกด้วย